คุณแม่ขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า
การมาละวางความเคยชินเดิมๆ แบบชาวบ้านในช่วงของการบวช คือการเปลี่ยนรหัสชีวิตของคนเรา
อย่าทำให้ช่วงเวลาที่จะดีดเราให้ขึ้นสูงนี้ต้องเศร้าหมอง
การบวชคือการสละออกไป
‘ปะวะชะ’ แปลว่าออกมาเสียจากความเคยชินเดิม
ให้มีวินัยที่จะร้อยเราไว้ เป็นพวงมาลัยที่งดงาม บูชาพระรัตนตรัย
เหมือนเรามาจากอุปนิสัยตามส่งที่แตกต่างกัน
ผู้หญิงเวลามาอยู่รวมกันมากๆ ต้องมีธรรมวินัย ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นชาวบ้าน วุ่นวาย
เมื่อสำรวมกาย วาจา ใจแล้ว เราก็ต้องมีสาราณียธรรม ๖ มีความสามัคคี ความพร้อมเพรียงในทุกเรื่อง ที่จะทำให้เราเป็นสังคมที่ชวนกันปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ชวนกันเร้ากุศล ให้สันโดษในอกุศล อย่าทำสิ่งที่ทุจริต ด่างพร้อย
มีสัมมาทิฏฐิ มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง มีสัมมาสังกัปปะ มีความดำริที่ถูกต้อง เป็นปัญญาของเธอในช่วงที่บวช มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ คือละการเลี้ยงชีวิตที่ผิด ละการเลี้ยงชีวิตด้วยตัณหา และมีสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิของเรา
เมื่อมีปัญญา ศีล สมาธิ เดินทางอยู่บนมรรคาแห่งการตื่น มีสมถวิปัสสนาเข้าถึงเป้าหมาย คือ ‘นิพพาน’
บวชยาวบวชสั้นก็เย็นให้ได้ทุกวัน ในฐานะของผู้ขอ ก็อย่าติดหนี้ชาวบ้าน
อย่าเจ้ากี้เจ้าการ จัดการใครเขา
เข้มงวดกับตัวเรา และเข้าใจคนอื่น ผ่อนปรนกับคนอื่น
คนเราไม่เหมือนกัน เพราะมีอุปนิสัยมาไม่เหมือนกัน
เราต้องใจกว้าง วางอคติ จัดใจเราเพื่อเข้าใจผู้อื่น
สังฆะก็จะร่มเย็น สังฆะก็จะเป็นสุข สงบเย็น และมีพลังที่จะเป็นประโยชน์
เราอยู่กับโลกธรรม ๘ อย่างมีมรรค ๘ ไว้
โลกธรรม ๘ ก็จะมี มีได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์
อย่างมีปัญญา ศีล และสมาธิ คือมรรค ๘ ไว้
‘อยู่กับโลกอย่างเหนือโลก’
‘อยู่กับโลกอย่างเข้าใจโลก’
‘อยู่อย่างไม่ตายทั้งเป็น’
การบวชมีค่ามาก
ผ้าครองที่จะมอบให้มีไว้ให้เปรียบเทียบตัวเองว่าจะไม่เหมือนผ้าเปลือกปอ จะเป็นผ้ากาสี
ถึงจะใหม่ สีก็สวย นุ่งห่มสบาย ไม่เจ็บเนื้อ
ถ้าเป็นผ้าเปลือกปอ ผู้บวชใหม่ก็จะคม บาดตัวเอง บาดคนอื่น
ให้มีคู่เปรียบเหมือนผ้ากาสี
แม้เก่าอย่างคุณแม่ ก็ให้ทำตัวเหมือนผ้าห่อพระรัตนตรัย เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย
เมื่อเราประพฤติธรรม คนจะเคารพธรรมในตัวเรา
ให้เรานำธรรมออกไปฉุดช่วยตัวเรา และบุคคลที่อยู่รายรอบ