คู่ต่อสู้ที่แท้จริงคือใจของเธอเอง
เพราะฉะนั้นการที่เธอลุกขึ้นมาทำอะไรได้มากกว่าที่คนอื่นรู้ว่าเธอทำอะไรได้
จะทำให้เธอไม่รู้สึกตกต่ำ
อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่จงเปรียบเทียบกับตัวเอง
ว่าเมื่อวานทำได้เท่านี้ วันนี้ทำได้มากกว่า แล้วก็แข็งแรงไปเรื่อยๆ
ทำได้มากกว่าโดยการมองเห็นศักยภาพของตัวเอง
ให้คนอื่นคิดอย่างไร เธอจะไม่ดูถูกตัวเธอเลย
เมื่อเธอไม่ดูถูกตัวเอง ก็จะสามารถ ‘เปลี่ยนร้ายกลายดี’
คนเราจะยอมรับกันตรงที่ว่าใครมีน้ำใจมากกว่ากัน
สิ่งที่เราต้องถามตัวเองบ่อยๆ คือ
“พอแล้วหรือยัง”
มันพอแล้วหรือยังกับความทะเยอทะยานอันไม่มีทิศทางของมนุษยชาติ
ถ้าเธอบอกว่า เธอรู้ว่าจะอยู่กับมันอย่างลงทุนในเหตุ ปฏิเสธผลไม่ได้
เธอพอในความโลภ
ฉันทะในทางปัญญาจะทำให้เธอกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
ช่วงของการบวชคือช่วงการถามตัวเองให้เป็น
ตั้งคำถามตัวเองให้เป็น
วันนี้ตื่นขึ้นมาแล้ว เห็นการเติบโตอะไรที่เราจะยกมือไหว้ตัวเองได้บ้างหรือยัง
คนที่ไม่ต้องให้ใครมาบังคับให้ทำนู่นทำนี่ จะเติบโตทาง Spiritual
เธอจะกลายเป็น Spiritual Leader ของตัวเธอ
ไม่ต้องคิดไปเป็นกับคนอื่น
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเห็นตัวเอง เริ่มภาคภูมิใจ เริ่มมีศรัทธากับตัวเอง
สิ่งเหล่านี้จะไปทำให้เกิดความตื้นของสิ่งที่เคยคิดแล้วมันตกไป ตกไปอยู่ในหลุม
จนในที่สุดเราก็กลายเป็นมนุษย์ติดหล่ม ตกหลุมที่เราขุดล่อตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว
เราทุกคนต่างรักชีวิต แต่เราไม่รู้ตัว
คำว่า ‘ฉัน’ นั้นตายไปทุกวัน
อหังการเองก็ไม่เที่ยง ก็ตายไปทุกวันเช่นกัน
ตัณหาก็ไม่เที่ยง
กุศลก็ไม่เที่ยง
อกุศลก็ไม่เที่ยง
ฉะนั้น ถ้าละได้ทั้งหมดเลย จะลอยตัวกว่า
กุศลก็ต้องเร่งทำ ทำแล้วก็ต้องละได้
อกุศลก็ต้องเร่งหยุด เร่งแล้วก็ต้องมีศรัทธากับตัวเองได้
ถ้าเราเห็นว่าเราประจักษ์แจ้งสักครั้งเดียว วาจาของเราก็จะเริ่มมีความน่าเชื่อถือ